PIER PAOLO PASOLINI
ภาคปลาย : สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน (3)

 



Giuseppe Pelosi ในปี 1976


Giuseppe Pelosi ในปี 1985


หน้าก่อน | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
นาฏกรรมมนุษย์

"ชีวิตเป็นเหมือนเช่นภาพยนตร์ เราทุกคนต่างก็ถูกติดตามด้วยกล้องที่มองไม่เห็น ตั้งแต่เกิดจนตาย ในความเป็นจริงภาพยนตร์ประกอบด้วยช็อตจำนวนมากมาย ภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะถูกขัดจังหวะ และเรียบเรียงช็อตเหล่านั้นใหม่เพื่อให้เกิดความหมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราตาย และในชั่วขณะสุดท้ายของชีวิตนั่นเอง ที่ชีวิตอันคลุมเครือและไม่สามารถอธิบายได้ จะได้รับมอบความหมายของมัน เช่นนี้เองที่การตัดต่อก็มีความหมายต่อภาพยนตร์เช่นเดียวกับที่ความตายมีต่อชีวิต"

29-30 ตุลาคม 1975 พาโซลินี่ได้รับเชิญจากสมาพันธ์ภาพยนตร์สวีเดนเพื่อร่วมในงานฉายภาพยนตร์ของเขาตั้งแต่ Accatone จนถึง The Thousand and One Nights

หนังสามเรื่องล่าสุดของผม, Decameron, Canterbury Tales และ The Thousand and One Nights ผมต้องการแสดงให้เห็นว่าเรื่องเพศนั้นช่างอบอุ่นและมอบพลังในการดำรงชีวิตให้แก่ผู้คน ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นการซื้อขายกันในปัจจุบัน …หนังของผมตรงกันข้ามกับหนังโป๊

และกล่าวถึง Salò ที่ขณะนั้นยังเป็นหนังลึกลับที่ผู้คนต่างเฝ้ารอคอยกัน ว่า “จัดฉากขึ้นในปี 1945 เพราะจุดจบของสงครามคือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยของเรา เมื่อเรื่องเพศเบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องธุรกิจ” เขาเสริมว่าเขาจะทำหนังอีกสองเรื่อง (รวมกับ Salò เป็นไตรภาค) แล้วจะกลับไปเขียนหนังสืออีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นเขาได้เริ่มเขียนนิยายเรื่องหนึ่งแล้วชื่อ Vas (หรือ Petrolio) เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “…สังคมบริโภคนิยม ที่สุดท้ายต้องขายผู้คนและกลืนกินตัวเอง

สามวันให้หลัง ในตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 1975 มีคนพบร่างไร้วิญญาณของพาโซลินี่นอนเกรอะกรังไปด้วยเลือดที่ Ostia!!

ตีหนึ่งครึ่งเมื่อคืนตำรวจพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งขับรถ Alfa Romeo GT ด้วยความเร็วมากกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงตามไปตรวจสอบ เมื่อพวกเขาบอกให้เด็กหนุ่มลงจากรถ เขาก็ร้องไห้และพยายามจะหนี ตำรวจซักถามชื่อได้ว่า Giuseppe Pelosi อายุ 17 ปี เขาสารภาพว่าเพิ่งขโมยรถมาจากลานจอดรถในโรม ตอนนั้นตำรวจไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น

จน 6:30 น. มีคนพบศพพาโซลินี่ และ 10:40 น. Ninetto ทำบันทึกถึงตำรวจว่าพาโซลินี่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน พอสิบเอ็ดโมง Pelosi ก็ยอมสารภาพ “เราตกลงกันแล้วว่าผมจะเป็นฝ่ายชาย แต่เขาอยากจะกลับกัน ผมบอกว่าไม่ เขาดูถูกผม แล้วเราก็เริ่มต่อสู้กัน ตอนนั้นผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมไม่เห็นว่ากระดานแผ่นนั้นมีตะปูอยู่ เขาตีผมด้วยเหมือนกัน …เขาวิ่งหนีไป แล้วก็ล้มลง ผมเลยเอารถเขามา ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางทีผมอาจจะขับรถทับร่างเขา เขามันบ้า ผมไม่เข้าใจเลย

 



 


Pelosi ในปี 2005

เขาให้การว่า เมื่อคืนเขาอยู่บนทางเท้าถนนสายหนึ่งซึ่งเด็กหนุ่มๆมักไปหาลำไพ่พิเศษกัน เขาขึ้นรถไปกับพาโซลินี่ที่เขาบอกว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน พาโซลินี่ชอบเซ็กซ์ในที่โล่ง เขาเคยเขียนถึงเรื่องนี้หลายครั้งในงานของเขา วันนั้นเขาตัดสินใจพาเด็กหนุ่มไปที่ Ostia ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของโรม

คำให้การของ Pelosi มีช่องโหว่อยู่มากมาย โดยเฉพาะสภาพที่มีแค่รอยถลอกเล็กน้อยของเขา ด้วยรูปร่างสูงใหญ่และร่างกายที่แข็งแรงเพราะเล่นฟุตบอลอยู่เป็นประจำ พาโซลินี่ไม่น่าถูกทำร้ายสาหัสขนาดนั้นโดยไม่อาจตอบโต้ได้ ส่วนเสื้อผ้าของ Pelosi ก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่น่าจะเป็น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนร่วมด้วยมากกว่าหนึ่งคน นอกจากนี้จากคำให้การว่าเขาขับรถทับร่างพาโซลินี่เพราะกำลังตกใจและต้องการจะหนีนั้น เมื่อตรวจสอบสถานที่แล้วพบว่าน่าจะเป็นการจงใจฆ่าให้ตายมากกว่า เนื่องจากร่างของพาโซลินี่อยู่ห่างจากจุดที่รถจอดและไม่อยู่ในทางที่รถจะแล่นออกไป

Sergio Citti เพื่อนและนักแสดงของพาโซลินี่กล่าวว่า “ผมรู้จักเขามา 25 ปี ...มันเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะทำอันตรายกับเด็กผู้ชายอย่างนี้เพราะเขาไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ มันประหลาดและน่าหัวเราะ เขาเป็นคนฉลาด และผมรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หัวเราะ แค่หัวเราะ เท่านั้นแหละ

และเหมือนกับที่เกิดขึ้นมาตลอดชีวิตของเขา ตอนนี้ความตายที่น่าสงสัยของพาโซลินี่ก็กลายเป็นเรื่องการเมือง ฝ่ายคอมมิวนิสต์สงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกฟาสซิสต์ ส่วนฝ่ายขวาจัดก็กล่าวหาว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์นั่นแหละที่คิดจะกำจัดเขาเพราะเขาหมดประโยชน์แล้ว และยิ่งในช่วงหลังนี้พาโซลินี่กลายเป็นพวกนักเขียนปฏิกิริยาที่อาจมีอันตรายในอนาคต!!

…Giuseppe Pelosi ถูกตัดสินจำคุก แต่คดีนี้ก็ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้

พฤษภาคม 2005 หลังถูกจำคุกมาเป็นเวลา 9 ปี Pelosi ออกรายการโทรทัศน์ เรียกร้องให้รื้อคดีใหม่อีกครั้ง โดยลำดับเหตุการณ์ใหม่ว่า เขาไม่ได้ฆ่าพาโซลินี่ แต่เป็นเด็กหนุ่มสามคน 'ที่พูดสำเนียงทางใต้' ที่รุมซ้อมพาโซลินี่จนตายที่ชายหาด พร้อมกับตะโกนด่าว่า 'คอมมิวนิสต์สกปรก'

ขณะที่ Sergio Citti ซึ่งอ้างว่ามีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า Pelosi เป็นเพียงเหยื่อล่อให้ชาย 5 คนเป็นคนจัดการ ส่วน Pelosi ก็ต้องเล่นตามเกมของเจ้าของคำสั่งที่เป็น 'คนที่เป็นที่เคารพ'



 



 

ในตอนท้ายของ Salò เราได้รับรู้ว่าชายสี่คนนั้นได้ปลูกฝังความพึงพอใจต่อความรุนแรงให้กับเด็กบางคนที่รอดชีวิตได้สำเร็จ แน่นอนเด็กเหล่านั้นก็จะต้องเติบโตขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอิตาลีต่อไป และบางคนในนั้นก็อาจเติบโตขึ้นมาเป็นอย่าง Pelosi …คนรุ่นเก่าอาจจะตาย ฟาสซิสต์อาจจะล่มสลาย แต่บางทีพาโซลินี่อาจไม่แน่ใจว่าความคิดเหล่านี้จะสูญหายไปด้วย ในฉากสุดท้ายเด็กชายสองคนเดินไปเปลี่ยนแผ่นเสียงจากเพลงในยามสงครามเป็นเพลงเต้นรำ ทั้งสองโอบกอดกันอย่างอ่อนโยน โยกตัวไปตามจังหวะของเพลง …บางทีนี่อาจเป็นความหวังอันน้อยนิดที่พาโซลินี่คิด

22 พฤศจิกายน Salò เปิดฉายเป็นครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ที่ปารีส หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1975 กองเซนเซอร์อิตาลีประกาศห้ามฉาย หลังจากนั้นหนังก็เจอปัญหาเช่นนี้อีกในทุกๆประเทศทั่วโลก…

จากกวีผู้ยิ่งใหญ่ มาสู่นักเขียนผู้อื้อฉาว คอลัมนิสต์ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ นักวิจารณ์ศิลปะที่ได้รับความนับถือ จนถึงผู้กำกับภาพยนตร์ที่โด่งดังและทำเงินไปทั่วโลก ถึงวันนี้ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูของพาโซลินี่ ต่างก็ไม่อาจปฏิเสธอิทธิพลอย่างมหาศาลของเขาที่มีต่อการขับเคลื่อนความคิดทางการเมือง วัฒนธรรม วรรณกรรมและศิลปะของอิตาลีได้

เมื่อถูกถามว่า Salò จะอื้อฉาวหรือไม่ พาโซลินี่ตอบว่า “ผมเชื่อว่าการทำงานที่อื้อฉาวคือหน้าที่(ของศิลปิน) การถูกทำให้อื้อฉาวคือความพึงพอใจ และการปฏิเสธมันก็คือพวกเคร่งศีลธรรม

บันทึก

สารคดีีเกี่ยวกับความตายของพาโซลินี่ มีอยู่หลายเรื่อง เช่น
Wie de Waarheid Zegt Moet Dood / Whoever Says the Truth Shall Die (1981, Philo Bregstein)
A futura memoria: Pier Paolo Pasolini (1986, Ivo Barnabò Micheli)
Pasolini prossimo nostro (2006, Giuseppe Bertolucci)

ส่วนภาพยนตร์ก็มีเช่นกัน
Pasolini, un delitto italiano (1995, Marco Tullio Giordana)


Pasolini, un delitto italiano

ละครเวทีที่ถูกดัดแปลงเพื่อฉายทางทีวี
Vie et mort de Pier Paolo Pasolini (2004, Michel Azama)


Vie et mort de Pier Paolo Pasolini

มีกระทั่งการ์ตูน

หลังจากที่สูญหายไปจากการรับรู้ของผู้คนนานถึงสองทศวรรษ 2 เมษายน 2001 Salò ก็กลับมาเผยโฉมอีกครั้งโดย British Film Institute (BFI) ในรูปวีดิโอและ DVD เป็นครั้งแรก นับเป็นการกลับมาของหนังที่ถูกพูดถึงที่สุดและถูกละเลยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก

ก่อนหน้านั้น ในปี 2000 มีหนังสองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Marquis de Sade ออกฉายคือ หนังอเมริกันชื่อ Quills กำกับโดย Philip Kaufman และหนังฝรั่งเศสชื่อ Sade กำกับโดย Benoit Jacquot

 

บทความโดย พัลลภ ฮอหรินทร์

 

 

 

Pier Paolo Pasolini (1922-1975)

Director’s filmography

(ท้ายชื่อหนังคือความเห็นของผู้เขียน)

1961 : Accatone
1962 : Mamma Roma ****
1962 : La Ricotta ***
1963 : La Rabbia
1964 : Comizi d’amore
1964 : Gospel According to Saint Matthew *****
1966 : Uccellacci e uccellini (Hawks and Sparrows) ***
1967 : Edipo re ****
1967 : Amore e rabbia
1968 : Teorema ****
1969 : Porcile (Pigsty) ***
1970 : Medea ***
1971 : Il Decameron ****
1972 : 12 Dicembre, Canterbury Tales ***
1974 : The Thousand and One Nights (Arabian Nights) ***
1975 : Salò, or the 120 Days of Sodom *****

ข้อมูล

Pasolini Requiem โดย Barth David Schwartz
http://www.pasolini.net
http://jclarkmedia.com/pasolini/index.html
http://www.in2nett.com/mroth/salo.htm
http://www.bfi.org.uk/features/salo/intro.html
http://www.crimelibrary.com/classics/marquis/index.html
วรรณกรรมเอกยุโรปยุคกลาง โดย ทัศนีย์ นาควัชระ

 

 
 
หน้าก่อน
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |