|
||
|
นาฏกรรมมนุษย์
29-30 ตุลาคม 1975 พาโซลินี่ได้รับเชิญจากสมาพันธ์ภาพยนตร์สวีเดนเพื่อร่วมในงานฉายภาพยนตร์ของเขาตั้งแต่ Accatone จนถึง The Thousand and One Nights…
และกล่าวถึง Salò ที่ขณะนั้นยังเป็นหนังลึกลับที่ผู้คนต่างเฝ้ารอคอยกัน ว่า “จัดฉากขึ้นในปี 1945 เพราะจุดจบของสงครามคือจุดเริ่มต้นของยุคสมัยของเรา เมื่อเรื่องเพศเบี่ยงเบนไปเป็นเรื่องธุรกิจ” เขาเสริมว่าเขาจะทำหนังอีกสองเรื่อง (รวมกับ Salò เป็นไตรภาค) แล้วจะกลับไปเขียนหนังสืออีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นเขาได้เริ่มเขียนนิยายเรื่องหนึ่งแล้วชื่อ Vas (หรือ Petrolio) เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “…สังคมบริโภคนิยม ที่สุดท้ายต้องขายผู้คนและกลืนกินตัวเอง” สามวันให้หลัง ในตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 1975 มีคนพบร่างไร้วิญญาณของพาโซลินี่นอนเกรอะกรังไปด้วยเลือดที่ Ostia!!
ตีหนึ่งครึ่งเมื่อคืนตำรวจพบเด็กหนุ่มคนหนึ่งขับรถ Alfa Romeo GT ด้วยความเร็วมากกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงตามไปตรวจสอบ เมื่อพวกเขาบอกให้เด็กหนุ่มลงจากรถ เขาก็ร้องไห้และพยายามจะหนี ตำรวจซักถามชื่อได้ว่า Giuseppe Pelosi อายุ 17 ปี เขาสารภาพว่าเพิ่งขโมยรถมาจากลานจอดรถในโรม ตอนนั้นตำรวจไม่ได้สงสัยอะไรมากไปกว่านั้น จน 6:30 น. มีคนพบศพพาโซลินี่ และ 10:40 น. Ninetto ทำบันทึกถึงตำรวจว่าพาโซลินี่หายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน พอสิบเอ็ดโมง Pelosi ก็ยอมสารภาพ “เราตกลงกันแล้วว่าผมจะเป็นฝ่ายชาย แต่เขาอยากจะกลับกัน ผมบอกว่าไม่ เขาดูถูกผม แล้วเราก็เริ่มต่อสู้กัน ตอนนั้นผมมองอะไรไม่เห็นเลย ผมไม่เห็นว่ากระดานแผ่นนั้นมีตะปูอยู่ เขาตีผมด้วยเหมือนกัน …เขาวิ่งหนีไป แล้วก็ล้มลง ผมเลยเอารถเขามา ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางทีผมอาจจะขับรถทับร่างเขา เขามันบ้า ผมไม่เข้าใจเลย”
|
|
|
เขาให้การว่า เมื่อคืนเขาอยู่บนทางเท้าถนนสายหนึ่งซึ่งเด็กหนุ่มๆมักไปหาลำไพ่พิเศษกัน เขาขึ้นรถไปกับพาโซลินี่ที่เขาบอกว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน พาโซลินี่ชอบเซ็กซ์ในที่โล่ง เขาเคยเขียนถึงเรื่องนี้หลายครั้งในงานของเขา วันนั้นเขาตัดสินใจพาเด็กหนุ่มไปที่ Ostia ชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของโรม คำให้การของ Pelosi มีช่องโหว่อยู่มากมาย โดยเฉพาะสภาพที่มีแค่รอยถลอกเล็กน้อยของเขา ด้วยรูปร่างสูงใหญ่และร่างกายที่แข็งแรงเพราะเล่นฟุตบอลอยู่เป็นประจำ พาโซลินี่ไม่น่าถูกทำร้ายสาหัสขนาดนั้นโดยไม่อาจตอบโต้ได้ ส่วนเสื้อผ้าของ Pelosi ก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่น่าจะเป็น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นไปได้ว่าน่าจะมีคนร่วมด้วยมากกว่าหนึ่งคน นอกจากนี้จากคำให้การว่าเขาขับรถทับร่างพาโซลินี่เพราะกำลังตกใจและต้องการจะหนีนั้น เมื่อตรวจสอบสถานที่แล้วพบว่าน่าจะเป็นการจงใจฆ่าให้ตายมากกว่า เนื่องจากร่างของพาโซลินี่อยู่ห่างจากจุดที่รถจอดและไม่อยู่ในทางที่รถจะแล่นออกไป Sergio Citti เพื่อนและนักแสดงของพาโซลินี่กล่าวว่า “ผมรู้จักเขามา 25 ปี ...มันเป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะทำอันตรายกับเด็กผู้ชายอย่างนี้เพราะเขาไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ มันประหลาดและน่าหัวเราะ เขาเป็นคนฉลาด และผมรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หัวเราะ แค่หัวเราะ เท่านั้นแหละ” และเหมือนกับที่เกิดขึ้นมาตลอดชีวิตของเขา ตอนนี้ความตายที่น่าสงสัยของพาโซลินี่ก็กลายเป็นเรื่องการเมือง ฝ่ายคอมมิวนิสต์สงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกฟาสซิสต์ ส่วนฝ่ายขวาจัดก็กล่าวหาว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์นั่นแหละที่คิดจะกำจัดเขาเพราะเขาหมดประโยชน์แล้ว และยิ่งในช่วงหลังนี้พาโซลินี่กลายเป็นพวกนักเขียนปฏิกิริยาที่อาจมีอันตรายในอนาคต!! …Giuseppe Pelosi ถูกตัดสินจำคุก แต่คดีนี้ก็ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ พฤษภาคม 2005 หลังถูกจำคุกมาเป็นเวลา 9 ปี Pelosi ออกรายการโทรทัศน์ เรียกร้องให้รื้อคดีใหม่อีกครั้ง โดยลำดับเหตุการณ์ใหม่ว่า เขาไม่ได้ฆ่าพาโซลินี่ แต่เป็นเด็กหนุ่มสามคน 'ที่พูดสำเนียงทางใต้' ที่รุมซ้อมพาโซลินี่จนตายที่ชายหาด พร้อมกับตะโกนด่าว่า 'คอมมิวนิสต์สกปรก' ขณะที่ Sergio Citti ซึ่งอ้างว่ามีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า Pelosi เป็นเพียงเหยื่อล่อให้ชาย 5 คนเป็นคนจัดการ ส่วน Pelosi ก็ต้องเล่นตามเกมของเจ้าของคำสั่งที่เป็น 'คนที่เป็นที่เคารพ' |
|
|
ในตอนท้ายของ Salò เราได้รับรู้ว่าชายสี่คนนั้นได้ปลูกฝังความพึงพอใจต่อความรุนแรงให้กับเด็กบางคนที่รอดชีวิตได้สำเร็จ แน่นอนเด็กเหล่านั้นก็จะต้องเติบโตขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอิตาลีต่อไป และบางคนในนั้นก็อาจเติบโตขึ้นมาเป็นอย่าง Pelosi …คนรุ่นเก่าอาจจะตาย ฟาสซิสต์อาจจะล่มสลาย แต่บางทีพาโซลินี่อาจไม่แน่ใจว่าความคิดเหล่านี้จะสูญหายไปด้วย ในฉากสุดท้ายเด็กชายสองคนเดินไปเปลี่ยนแผ่นเสียงจากเพลงในยามสงครามเป็นเพลงเต้นรำ ทั้งสองโอบกอดกันอย่างอ่อนโยน โยกตัวไปตามจังหวะของเพลง …บางทีนี่อาจเป็นความหวังอันน้อยนิดที่พาโซลินี่คิด 22 พฤศจิกายน Salò เปิดฉายเป็นครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์ที่ปารีส หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1975 กองเซนเซอร์อิตาลีประกาศห้ามฉาย หลังจากนั้นหนังก็เจอปัญหาเช่นนี้อีกในทุกๆประเทศทั่วโลก… จากกวีผู้ยิ่งใหญ่ มาสู่นักเขียนผู้อื้อฉาว คอลัมนิสต์ผู้ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ นักวิจารณ์ศิลปะที่ได้รับความนับถือ จนถึงผู้กำกับภาพยนตร์ที่โด่งดังและทำเงินไปทั่วโลก ถึงวันนี้ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูของพาโซลินี่ ต่างก็ไม่อาจปฏิเสธอิทธิพลอย่างมหาศาลของเขาที่มีต่อการขับเคลื่อนความคิดทางการเมือง วัฒนธรรม วรรณกรรมและศิลปะของอิตาลีได้ เมื่อถูกถามว่า Salò จะอื้อฉาวหรือไม่ พาโซลินี่ตอบว่า “ผมเชื่อว่าการทำงานที่อื้อฉาวคือหน้าที่(ของศิลปิน) การถูกทำให้อื้อฉาวคือความพึงพอใจ และการปฏิเสธมันก็คือพวกเคร่งศีลธรรม” บันทึก สารคดีีเกี่ยวกับความตายของพาโซลินี่ มีอยู่หลายเรื่อง เช่น ส่วนภาพยนตร์ก็มีเช่นกัน
ละครเวทีที่ถูกดัดแปลงเพื่อฉายทางทีวี มีกระทั่งการ์ตูน หลังจากที่สูญหายไปจากการรับรู้ของผู้คนนานถึงสองทศวรรษ 2 เมษายน 2001 Salò ก็กลับมาเผยโฉมอีกครั้งโดย British Film Institute (BFI) ในรูปวีดิโอและ DVD เป็นครั้งแรก นับเป็นการกลับมาของหนังที่ถูกพูดถึงที่สุดและถูกละเลยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในโลก ก่อนหน้านั้น ในปี 2000 มีหนังสองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Marquis de Sade ออกฉายคือ หนังอเมริกันชื่อ Quills กำกับโดย Philip Kaufman และหนังฝรั่งเศสชื่อ Sade กำกับโดย Benoit Jacquot
บทความโดย พัลลภ ฮอหรินทร์
|
|
Pier Paolo Pasolini (1922-1975) Director’s filmography (ท้ายชื่อหนังคือความเห็นของผู้เขียน) 1961 : Accatone ข้อมูล Pasolini Requiem โดย Barth David Schwartz
|
||
หน้าก่อน | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | |