|
||
|
ระหว่าง Marx กับพระเจ้า
ตุลาคม 1960 พาโซลินี่เริ่มถ่ายหนังเรื่องแรกของเขา Accatone โดยมีเฟลลินี่เป็นผู้อำนวยการสร้าง เนื้อหาของหนังก็เหมือนกับนิยายเรื่องที่สองของเขา ที่สะท้อนความเสื่อมของมนุษย์ที่ต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางฝุ่นควันและโคลนตม เกี่ยวกับ Vittorio แมงดาหนุ่ม ผู้ที่อยากให้คนอื่นเรียกเขาว่า Accatone (แปลตรงๆว่า แมงดา) เขามีชีวิตอยู่ด้วยการเกาะแฟนสาว Maddalena แต่เมื่อเธอถูกจับ ชีวิตเขาก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ สุดท้ายเขาตายจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์คว่ำ จากการหนีการจับกุมของตำรวจ จากคดีลักเล็กขโมยน้อย พาโซลินี่คัดเลือกนักแสดงจากคนที่อยู่ในสภาพนั้นจริงๆ เขาไม่ได้คาดหวังการแสดงจากคนเหล่านี้ แต่ต้องการความเป็นตัวของพวกเขาเองต่างหาก
เขายังได้ลูกชายของเพื่อนนักเขียน Attilio Bertolucci ที่ชื่อ Bernado Bertolucci ซึ่งขณะนั้นอายุ 19 ปีมาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นานเฟลลินี่ก็กลับถอนตัวเมื่อได้เห็นฟิล์มชุดแรกที่การจัดภาพออกมาดูหยาบและไม่สวยงาม อย่างที่เขาคาดหวัง เขาคิดว่าสไตล์นีโอเรียลลิสต์แบบนี้มันเหมือนกับหนังเมื่อ 15 ปีก่อน (งานของเฟลลินี่เองมักจะมีการจัดภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้ภาพที่สวยงาม) ขณะที่พาโซลินี่ต้องการภาพแบบเดียวกับหนังฝรั่งเศสคลาสสิคของ Carl Dreyer เรื่อง Passion of Joan of Arc (1928) เขาต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อหาเงินทุนใหม่ และในที่สุด Accatone ก็ได้ออกฉายในเทศกาลภาพยนตร์ที่เวนิซปี 1961 ท่ามกลางเสียงชื่นชม ถึงแม้ปีนั้น Last Year at Marienbad จะคว้ารางวัลที่หนึ่งไป ในรอบปฐมทัศน์ที่ Barberini มีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เป็นสมาชิกของกลุ่มนีโอฟาสซิสต์เข้ามาก่อกวน และขว้างขวดหมึกใส่จอหนัง หลังเหตุการณ์ พาโซลินี่ได้เอ่ยประโยคที่ต่อมากลายเป็นคำพูดที่ได้รับการจดจำ “ถ้าพวกฟาสซิสต์มันคิดจะเล่นกันให้ถึงที่สุดละก็ เชิญที่บ้านผมดีกว่า” แต่บังเอิญคนที่จะเล่นเขาก่อนดันเป็นคนอื่น!! … กองเซนเซอร์เกิดบ้าจี้กับการประท้วงของกลุ่มนีโอฟาสซิสต์คราวนั้น จึงสั่งถอนหนังออกจากทุกโรงในอิตาลี ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก!! 18 พฤศจิกายน 1961 หลังจากที่เขาจัดการกับบทหนังเรื่องที่สอง Mamma Roma เสร็จ ก็แยกกับเพื่อนออกไปตระเวณราตรีตามปกติ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เด็กหนุ่มชื่อ Bernadino de Santis ออกมาให้การปรักปรำเขาว่าวันนั้นพาโซลินี่เดินเข้าไปในบาร์ข้างปั้มน้ำมันที่เขาทำงานอยู่ พาโซลินี่สั่งโค้กมาดื่มและก็เริ่มถามคำถาม ‘แปลกๆ’ จากนั้นก็ชักปืนพกที่บรรจุ ‘กระสุนทองคำ’ ออกมาจ่อในปากเขา “อย่าขยับ ไม่งั้นแกตาย” พาโซลินี่เปิดลิ้นชักแล้วหยิบเงินไป 20,000 ลีร์ (lire) ราวกับจอมโจร Zorro ก่อนจากไปพาโซลินี่ก็พูดขึ้นว่า “แล้วเราคงได้พบกันอีก!!” คราวนี้เพื่อนๆในแวดวงศิลปะต่างออกมาเถียงกันคอเป็นเอ็น ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตอนนี้พาโซลินี่มีเงินมากเกินพอที่จะไม่ต้องทำเรื่องไร้สติอย่างนั้น และจริงๆแล้วเขาเป็นคนที่สุภาพและฉลาดเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ ขณะที่หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวากลับออกมาประนามว่าพาโซลินี่เป็น ‘นักเขียนเรื่องลามกที่ต้องการทำให้ประเทศตกต่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศ’ ฝ่ายอัยการถึงกับจ้างศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโรม ชื่อ Aldo Semerari มาตรวจสภาพจิตของพาโซลินี่ และแถลงผลวิเคราะห์ที่น่ากังขาและเต็มไปด้วยอคติออกมาว่า พาโซลินี่เป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วก็คือ ‘สภาพจิตบกพร่อง’ อาชญากรรมครั้งล่าสุดของเขาจึงเป็นอาการที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขาเป็นพวกที่ชอบโชว์ก็เพราะเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นคอมมิวนิสต์ก็เพราะวิกลจริต วิกลจริตก็เพราะเป็นรักร่วมเพศ และดังนั้นจึงเกิดอาชญากรรม?!! พาโซลินี่ต้องใช้เวลาถึงหกปีกว่าจะหลุดจากข้อกล่าวหาได้ เนื่องจาก ‘มีหลักฐานไม่เพียงพอ’ เพื่อนของเขาเคยกล่าวว่า จริงๆแล้วผู้พิพากษาก็ตระหนักดีว่าคำให้การของโจทย์นั้นไร้สติสิ้นดี แต่ก็ยังรับพิจารณาคดีต่อไปด้วยเหตุผลที่พาโซลินี่เป็นรักร่วมเพศ และในอิตาลีก็ไม่มีกฏข้อไหนเอาผิดได้… หลังจากนั้นหลายปี De Santis เด็กหนุ่มที่ฟ้องเขาก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลบ้า?!! |
|
ถ้า Accatone แสดงสภาพที่เป็นระบบปิดของชีวิตพวก borgata ที่เมื่อใดพยายามจะออกไปจากโลกสลัมของพวกเขา ก็จะต้องเผชิญกับแรงปะทะจากโลกแห่งความจริงข้างนอกจนถึงตาย Mamma Roma (1962) กลับแสดงความหวังของคนสามัญที่พยายามไขว่คว้าชีวิตที่ดีกว่า ผ่านหญิงชาวบ้านอย่าง Carmine ซึ่งแสดงโดย Anna Magnani ที่โด่งดังจากหนังต้นแบบแนวนีโอเรียลลิสต์ Rome, Open City (1945) ของ Roberto Rossellini Carmine คือโสเภณีที่ตัดสินใจเลิกอาชีพเก่า แล้วพาลูกไปอยู่เมืองอื่น เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นคนขายผลไม้ เพื่อชดเชยจากการที่เธอไม่ได้ดูแลลูกชายเมื่อยามเยาว์วัย แต่ Ettore ที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่น กลับสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันแมงดาเก่าของเธอก็กลับมารังควาน แม้เนื้อเรื่องจะฟังดูน้ำเน่า แต่พาโซลินี่แสดงตวามซับซ้อนทางอารมณ์ของ Carmine และ Ettore ออกมาได้อย่างงดงาม ผ่านทิวทัศน์แปลกตา รวมไปถึงภาพสุดท้ายของหนัง ที่จะทิ้งคำถามไว้ในใจคนดู
|
||
ในปีเดียวกันเขาก็ทำหนังสั้นเรื่อง La ricotta ซึ่งเป็นตอนหนึ่งในสี่ตอนของ RoGoPaG ที่ประกอบด้วยงานของผู้กำกับสี่คนคือ Rossellini, Godard, Pasolini และ Ugo Gregoretti La ricotta เป็นหนังที่เกี่ยวกับการถ่ายหนังเรื่องประวัติของพระคริสต์ Orson Welles แสดงเป็นผู้กำกับ (พาโซลินี่ ‘ต้องการคนที่ดูเหมือนเฟลลินี่’ มาเล่นเป็นผู้กำกับ) ฉากที่เป็นปัญหาของหนังก็คือตอนพักเที่ยงที่อยู่ๆนักแสดงหญิงที่เล่นเป็น Magdalene ก็ลุกขึ้นมาเต้นระบำเปลื้องผ้าต่อหน้าทีมงานและนักแสดงชายที่เล่นเป็นพระคริสต์และนักโทษอื่น ที่ยังถูกตรึงกางเขนอยู่ นักแสดงชายคนหนึ่งที่เล่นเป็นขโมย ที่จะถูกลงโทษพร้อมพระเยซู เป็นคนยากจนที่ยอมมาเล่นหนังเรื่องนี้เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่กลับถูกแกล้งให้ตรึงกางเขนอยู่อย่างนั้นตลอดพักกลางวัน พวกทีมงานโยนอาหารไปให้เขากินแต่ก็พลาดตลอด พอเขางับแซนวิชได้ชิ้นนึงก็กินมันอย่างหิวโหย เมื่อเริ่มถ่ายอีกครั้ง Welles ผู้กำกับที่ไม่เคยลุกจากที่นั่งสั่งแอคชั่น ก็ปรากฏว่าชายคนนั้นตายอยู่บนกางเขนซะแล้ว นักแสดงผู้ไม่เคยเถียงหรือบ่นใดๆเลย เขาทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว สำหรับพาโซลินี่แล้วนี่คือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ แต่หนังกลับถูกฟ้องในข้อหา ‘ลบหลู่ศาสนาประจำชาติ’ คราวนี้เขามีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วย คือหนังเรื่อง Viridiana ของ Lius Bunuel ผู้นำฝ่ายสังคมนิยมอย่าง Pietro Nenni เขียนถึงกรณีนี้ว่า ส่วนนักวิจารณ์อย่าง Piero Citati ถึงกับถามว่า คำถามนี้คือคำถามเดียวกับที่ Calvino ถามเขา ขณะที่เฟลลินี่กล่าวว่าคดีนี้เป็นเรื่องที่ ระหว่างถ่ายทำ La ricotta นี่เองที่พาโซลินี่ได้พบกับเด็กหนุ่ม ที่ต่อมาเขาคบหาด้วยจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต Giovanni Davoli หรือ Ninetto เป็นน้องชายของช่างไม้ที่มาทำงานกับหนัง ขณะนั้นเขาอายุสิบสี่ ขณะที่พาโซลินี่กำลังจะอายุครบสี่สิบในเดือนมีนาคมที่จะถึง… ก็ถ้าเขาถูกหาว่าดูหมิ่นศาสนา งั้นหนทางแก้ทางเดียวก็คือ ทำหนังที่เดินตามคำสอนทางศาสนาที่เคร่งครัดที่สุดและงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาซะเลย!! |
||
หลังจากใช้เวลาอย่างยาวนานในการหาทุน พาโซลินี่ก็เริ่มถ่ายทำ Gospel According to Saint Matthew โดยไม่ใช้บทพูดอื่นเลยนอกจากที่อยู่ในคัมภีร์เล่มนั้น นักแสดงเกือบทั้งหมดในเรื่องล้วนอยู่ในแวดวงวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนหรือกวี เขายังให้แม่ตัวเองเล่นเป็น Mary มารดาของพระคริสต์ ส่วนบทพระคริสต์ที่พาโซลินี่อธิบายว่าคือ “ปัญญาชนในโลกที่ยังมีคนยากจนที่รอคอยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่” นั้น หลังจากที่เขาควานหามาตั้งแต่อิสราเอลจนถึงมิลาน กระทั่งเคยคิดจะให้นักเขียนอเมริกัน Jack Kerouac เล่น สุดท้ายเขากลับได้พบ ‘แรงบันดาลใจในฉับพลัน’ กับนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ชาวสเปนที่ไปรอพบเขา เพราะชอบนิยายเล่มแรกของพาโซลินี่ที่แปลเป็นภาษาสเปน “ผมไม่เชื่อว่าพระคริสต์คือลูกหลานของพระผู้เป็นเจ้า เพราะผมไม่ศรัทธาในพระองค์ - อย่างน้อยก็ในยามที่มีสติอยู่ … แต่ผมเชื่อว่ามีความสำนึกในมนุษยธรรมอันยิ่งใหญ่อยู่ในตัวของเขา มั่นคงและเป็นอุดมคติเหนือมนุษยธรรมสามัญทั้งปวง” Gospel ออกฉายครั้งแรกในเทศกาลหนังที่เวนิซ ปี 1964 หลังผ่านการตรวจเซนเซอร์ ที่หนึ่งในคณะกรรมการเซนเซอร์ถึงกับเอ่ยปากชมว่าเป็น “งานที่ควรค่าแก่การสรรเสริญ ทั้งจากความสง่างามทางศิลปะและแรงบันดาลใจอันสูงส่ง” Gospel คว้ารางวัล Special Jury Prize ขณะที่รางวัลสิงโตทองคำเป็นของ Antonioni จาก Red Desert หลังจากงานยุคแรกที่เป็นภาพยนตร์ที่มุ่งเสนอความจริงแบบ Neorealism, Gospel เป็นงานชิ้นที่พาโซลินี่ก้าวเข้าสู่ยุคที่สอง คือภาพยนตร์เชิงกวีนิพนธ์ (Poetic Cinema) Alfredo Bini ผู้อำนวยการสร้างของหนัง นำ Gospel เข้าไปจัดฉายในกรุงวาติกัน และกลับมาพร้อมรางวัลสูงสุดจากสำนักงานภาพยนตร์คาธอลิคนานาชาติ (OCIC) นั่นทำให้ฝ่ายการเมืองแทบทุกฝ่ายเนื้อเต้นไปตามๆกัน หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาเรียกหนังเรื่องนี้ว่าเป็น “การเทศนาของลัทธิคอมมิวนิสต์ผ่านคำพูดของ Matthew” ส่วนนักวิจารณ์ต่างก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียก Gospel ว่าเป็นหนังมาร์กซิสต์หรือหนังคาธอลิคดี หนังสือพิมพ์บางเล่มถึงกับอุทานว่าพาโซลินี่ “ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่อาจคาดเดาอะไรได้เช่นนี้” และบางเล่มก็กล่าวว่ารางวัลของ OCIC นั้นทั้ง ‘กำกวม’ และ ‘น่าขัน’ 18 ตุลาคม กลุ่มนีโอฟาสซิสต์ตอบโต้พาโซลินี่ โดยการลงบทความเต็มหน้าชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ของตัวเองในชื่อ ‘พาโซลินี่คือใคร?’ ในเนื้อความเป็นประวัติอาชญากรรมทั้งหกครั้งของพาโซลินี่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน!!
|
||
หน้าก่อน | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | หน้าต่อไป |