|
||
|
Kris Kelvin (Donatas Banionis) คือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกส่งขึ้นไปสำรวจเหตุการณ์ประหลาด ที่เกิดขึ้นในสถานีอวกาศที่โคจรอยู่รอบดาวเคราะห์ Solaris ที่ปกคลุมไปด้วยมหาสมุทรมหึมา โดยในขณะนั้นมีนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติงานอยู่ที่นั่น 3 คนคือ Gibarian, Snaut และ Satorius เมื่อไปถึงสถานีอวกาศ Kelvin พบว่าพวกเขาได้ทำการทดลองยิงรังสี X เข้าไปยังมหาสมุทร เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ประหลาดที่ทำให้ Satorius ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับดาวดวงนี้ว่า มันประกอบไปด้วยสสารที่มีจิตสำนึก และกำลังพยายามที่จะติดต่อกับคนในสถานี โดยการเข้าไปในจิตใต้สำนึกแล้วจำลองสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นออกมาเป็นรูปร่าง ซึ่งในกรณีของ Kelvin ก็คือภรรยาของเขา Hari ที่ฆ่าตัวตายไปเมื่อหลายปีก่อน Kelvin พยายามทำความเข้าใจ Solaris พยายามจะเอาชนะมัน เพื่อหลุดพ้นจากการครอบงำ แต่การทำเช่นนั้นย่อมเป็นการทำลาย Hari ที่ ‘เกิดใหม่’ (resurrect) ไปด้วย ผู้ซึ่งเขาเริ่มจะสัมผัสถึงความรู้สึกเก่าๆที่เขาเคยมีต่อ Hari ตัวจริง ขณะเดียวกันเขาก็ระลึกถึงโลกที่เขาจากมา นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก พ่อ แม่ บ้านไม้เก่าๆ ต้นไม้ สายหมอก... ความทรงจำเหล่านี้กำลังต่อสู้กับการคุกคามของมหาสมุทร Solaris ก่อนที่จะทำ Solaris (1972) ทาร์คอฟสกี้ได้ดู 2001: A Space Odyssey ของสแตนลี่ย์ คูบริก ร่วมกับทีมงาน และพบว่ามันไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มีความเป็นมนุษย์ มุ่งแต่จะแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยีของมนุษยชาติในอนาคตเท่านั้น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะทำ Solaris ในทางตรงกันข้าม แม้กระทั่งฉากในยานอวกาศเขาก็ตั้งใจจัดให้มันดูรก ระเกะระกะ ไม่เหมือนฉากที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และ 'ปลอดเชื้อ' ของ 2001 เขาดึงนิยายของ Stanislaw Lem นักเขียนโปแลนด์ กลับมาสู่โลก เขาให้ความสำคัญกับโลกเหนือกว่าอวกาศ ธรรมชาติเหนือเทคโนโลยี ทาร์คอฟสกี้ไม่ได้ต้องการแสดงภาพโลกในหนังเพียงเพื่อให้เป็นขั้วตรงข้ามกับอวกาศเท่านั้น แต่ต้องการให้คนดูรู้สึกถึงความงามของโลก และ ‘ความขมขื่นของการโหยหาอดีต’ | |
มนุษย์เดินทางไปสู่จักรวาลแสนไกล เพียงเพื่อจะค้นหากระจกที่จะสะท้อนภาพตัวเอง แทนที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาบนโลก การเดินทางที่ยาวนานที่สุดคือการเดินทางลึกเข้าไปในใจของตัวเอง เพื่อค้นพบความผิดพลาดและบาดแผลที่ไม่อาจเยียวยา แต่ต้องยอมรับมันไว้อย่างเจ็บปวด
ในตอนจบของหนัง เราไม่อาจบอกได้ว่า Kelvin ได้กลับมาที่โลกจริงๆหรือไม่ หรือเขายังติดอยู่ที่ดาว Solaris หรือเขาอาจไม่เคยได้ไปที่ Solaris เลยด้วยซ้ำ อากิระ คุโรซาว่า ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นกล่าวว่า หนังเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง
Solaris ได้รางวัล Special Jury Prize ที่คานส์ และได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งในโซเวียตและที่อื่นๆ แม้จะได้รับคำวิจารณ์ว่า สับสน เสแสร้ง และมีปรัชญา ‘หนายังกับชั้นโอโซน’ (Jay Cocks, Time) และคนที่เกลียดหนังเรื่องนี้ยังรวมถึง Stanislaw Lem เจ้าของเรื่องด้วย ครั้งหนึ่งขณะที่กำลังถ่ายทำ เขาทะเลาะกับทาร์คอฟสกี้ และพูดว่า ทาร์คอฟสกี้ไม่ได้กำลังทำ Solaris หรอก แต่กำลังทำ Crime and Punishment (ดอสโตเยฟสกี้) ต่างหาก
ส่วนตัวทาร์คอฟสกี้กลับรู้สึกชอบ Solaris น้อยที่สุดในหนังทั้งหมดของเขา เพราะเขาไม่สามารถกำจัดส่วนที่เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ออกไปได้ (มากพอ) 'เนื่องจากมันจำเป็นต่อเนื้อเรื่องของ Lem' โดยเขาเขียนถึงหนังเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยใน Sculpting in Time รวมทั้งเขายังมีปัญหากับนักแสดงด้วย โดยเฉพาะ Banionis ซึ่งเป็นนักแสดงละครเวทีมาก่อนนั้น ต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับตัวละครของเขาทั้งหมดก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ รวมถึงความหมายต่างๆของหนัง ซึ่งทาร์คอฟสกี้ไม่มีให้ กรณีนี้ยังรวมถึง Natalya Bondarchuk (รับบท Hari) ซึ่งเป็นลูกสาวของศัตรูของเขาอย่าง Sergei Bondarchuk ด้วย ที่จริงแล้วก่อนที่ทาร์คอฟสกี้จะยื่นบท Solaris ให้ Mosfilm พิจารณา เขาได้ยื่นบทหนังชีวประวัติของแม่ชื่อ Bright, Bright Day ไปก่อน แต่ก็ถูกปฏิเสธ ก่อนที่จะได้สร้างในภายหลังในชื่อ Mirror
|
||
<<< | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | >>> |